ขอให้ผม…เป็นชีวิตสุดท้าย! (1)

เรื่อง: อุเทน ภุมรินทร์ ภาพ: กุลพัฒน์ ศรลัมภ์


“จะมีลูกสัตว์ป่าอีกสักกี่สิบ กี่ร้อยตัวกัน ที่ต้องมาตายทั้งเป็น ในอ้อมอกของมนุษย์”

ผมอยากให้คนที่คิดจะซื้อผมมาเลี้ยงได้เห็นสภาพของสัตว์ป่าในสภาพสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้งอย่างผมเหลือเกิน เขาอาจไม่พลั้งทำบาปนั้นอีก

ผมยังจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดี ตั้งแต่วันที่ผลัดจากอกแม่  ในคืนนั้น ท้องฟ้าคืนเดือนมืด แสงดาวส่องประกายระยิบระยับ ลมกลางคืนพัดมาผะแผ่ว แม่ออกหากินตามปกติ ผมยังเป็นลิงลมตัวจ้อยอายุไม่กี่เดือนเกาะอกแม่ แม่พาผมไปด้วยขณะแม่ค่อยๆ ไต่คลานเข้าไปหมายจับเจ้ากิ้งก่าที่นอนหลับเพลินอยู่บนกิ่งไม้ตรงหน้า ทันใดนั้นเอง แสงประหลาดส่องจ้าพุ่งเข้ามาที่ดวงตาของเราทั้งแม่และลูก จนเราทั้งสองมึนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ผมได้ยินเสียงพูดคุยของสัตว์สองขาดังขึ้น แต่แม่กลับคล้ายหวาดระแวง แล้วก้มมาบอกผมว่า

“เราต้องรีบหนีแล้วลูก สัตว์สองขา พวกนี้ใจร้ายและจับเราไปขาย!” แม่บอกด้วยลมหายใจกระชั้นถี่ พร้อมรีบพาผมไต่หนีขึ้นต้นไม้สูงขึ้นไปจากเดิม

ผมหันไปมองสัตว์สองขา ด้วยความสงสัยว่า

 “ทำไม พวกเขาต้องไล่ล่าพวกเรา หรือจะจับพวกเราไปขายด้วย พวกสัตว์สองขา ไม่รักชีวิตของเขาและลูกของเขาเหมือนเราหรือไงนะ”

พวกสัตว์สองขาหน้าตาประหลาดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขามีเหล็กแท่งยาวๆ ติดมือมาด้วย ยังไม่ทันที่เราจะเคลื่อนที่หนีไปอื่น เขาก็เล็งแท่งเหล็กยาวๆ นั้นมาที่เรา พร้อมแผดเสียงดังราวฟ้าร้องกึกก้อง วูบหนึ่ง ผมก็พบว่า แม่และผมได้นอนอยู่ที่พื้นดิน เนื้อตัวของแม่เต็มไปด้วยน้ำเหนียวไหลออกมาจากไหนสักแห่งของร่างกายแม่ ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ ได้แต่เดาว่าที่ท่านนิ่งเงียบไปไม่พูดไม่จากับผม ท่านคงจะเจ็บปวดจากเสียงฟ้าถล่มของท่อนปืนยาวที่สัตว์ประหลาดสองขายกส่องมาเมื่อกี้แน่ๆ

เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ล่วงรู้ กลางป่ามืดมิดและเมื่อไม่มีเสียงของแม่คอยพูดคุยด้วย รอบๆ ตัวแลดูเงียบสงัดและวังเวง ผมยังพยายามเรียกแม่ที่นอนซบดินที่พื้นให้ตื่นขึ้นมา คลานไปหาเต้านมของแม่ แปลกเหลือใจ เต้านมของแม่ที่เคยให้น้ำนมอุ่นและหวาน ไม่มีน้ำนมออกมาให้ผมได้กินอิ่มอีกแล้ว แล้วทันใดนั้นเอง ผมก็โดนพรากจากอกแม่ โดยสัตว์สองขาที่ทำร้ายแม่ผม ผมถูกจับใส่มาในกระสอบถุงปุ๋ย รวมกับลูกลิงลมตัวอื่นๆ รวมกันแออัดอยู่ในนั้น ในสภาพหายใจแทบไม่ออก และมองไม่เห็นอะไรภายนอก พวกเราทั้งหลายได้แต่ภาวนาในใจว่า อีกไม่นานคงมีโอกาสได้กลับบ้าน กลับไปหาแม่ของพวกเรา!

 
ดวงตาของผมขุ่นมัว ท้องที่หิว และเจ็บระบมไปทั่วปาก เมื่อฟันเขี้ยวทั้งสองของผมถูกตัดออก ด้วยกรรไกรตัดเล็บในมือของคนขาย ผมได้ยินเธอสอนลูกสาวเธอว่า "ก่อนขายนางอาย ต้องตัดเขี้ยวออกก่อน มันได้ไม่กัดเราหรือลูกค้า" ผมได้ยินเธอพูดเสนอขายผมกับลูกค้าที่เดินผ่านไปมา แล้วให้ผมเกาะบนซี่กรงลวด ในขณะที่ปวดทรมานระบมปากอยู่นั้น ผมไม่เข้าใจสัตว์สองขา เช่นมนุษย์พวกนี้เสียเลย ทำไม? ต้องเบียดเบียนชีวิตอื่นที่ไม่มีทางสู้อย่างเราด้วย

“ซื้อไหมค่ะ ลูกนางอาย อายุยังไม่กี่เดือน กินหนอนเลี้ยงง่าย เชื่องง่ายง้าย ตัวสุดท้ายแล้วนะค่ะ…” เสียงหญิงวัยรุ่นอายุราวสักสิบห้า (เด็กในวัยที่น่าจะเรียนเรื่องสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน!!!) เธอป่าวประกาศ ในขณะแม่ร่างท้วมของเธอยังสาละวนอยู่กับการเจรจาค้าขายต่อรองราคา ลูกนกเหยี่ยวขาวให้กับชาวต่างชาติที่สนใจ

“อุ้ย! ตาโตเชียว ขี้อายด้วย น่ารักอ่ะ ตัวละเท่าไหร่กันค่ะ?” ในที่สุดสาววัยรุ่นที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาก็สนใจใน ‘สินค้า’ จากอ้อมอกของธรรมชาติ

“ตัวละ 2000 เองจ้ะ เลี้ยงง่ายนะหนู กินกล้วยสลับกับซีรีแลกซ์ไม่เปลืองหรอก น่ารักไม่แพ้ชูการ์ไกเดอร์เลย”

“ลดหน่อยนะค่ะ…”

หญิงสาววัยรุ่น พยายามต่อรอง “สินค้า” ที่เธออยากได้ บทสนทนาจบลง ในขณะที่ผมถูกยัยแม่ค้าร่างท้วมที่เสนอขายผม จับยัดใส่กล่องกระดาษ ข้างในนั้นมืดและอึดอัด มีเพียงช่องข้างๆ กล่องที่แม่ค้าเจาะทำเป็นรูไว้ให้ผมพอได้หายใจไม่ตายไปเสียก่อน (เฮอ! บางทีก็อยากตายไปเสียเลย ได้ไม่ต้องทนให้สัตว์สองขาทรมานอยู่อย่างนี้)

นี่คือ ภาพที่เกิดขึ้นกับ "นางอาย" ทุกตัว ก่อนที่คุณจะซื้อมาเป็น "สัตว์เลี้ยง" พวกมันจะถูกพ่อค้าดึงฟันหน้าที่เป็นเขี้ยวออก เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า มันเชื่องและไม่ทำร้ายพวกเขา นอกจากต้องทรมานอยู่ในอ้อมอกมนุษย์ ถูกพรากจากแม่และป่าที่มันเกิด พวกมันอาจฟันผุ หรือติดเชื้อจากแผลที่รากฟัน จนตายในที่สุด ภาพโดย International Animal Rescue (IAR)

เมื่อสาวนักศึกษา เธอได้ผมไปเป็นสัตว์เลี้ยง ช่วงสัปดาห์แรก เธอมักพาผมขึ้นเจ้าเครื่องยนต์ตัวถังโตๆ แล้วมีล้อสามารถพาเราล่องหนไปอีกที่อื่นๆ นอกบ้าน เธอเรียกที่เธอไปบ่อยๆ นั้นว่า “มหา’ลัย” ในวันแรกๆ ทั้งเพื่อนหญิงเพื่อนชายของเธอต่างรุมล้อม ผมแทบเฉามือเพื่อนๆ ของเธอตาย เพราะคนนั้นจับ คนนี้อุ้ม บางคนก็จิ้มเอาที่พุงแรงๆ เธอเองก็เหมือนอยากอวดอยากโชว์สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ เที่ยวทรมานผมโดยการเอาผมเกาะไหล่ ตะเวนไปทั่ว แสงแดดจ้าตอนกลางวัน ทำผมต้องหลบแสงม้วนตัวซุกหน้ากับขาหลัง

“อายด้วย น่ารักจัง…” ผมได้ยินเพื่อนๆ ของเธอพูดกันบ่อยๆ เมื่อเห็นผมซุกหน้าหลบแสงแดดจ้า สัตว์สองขานี้แปลกแท้ มองเห็นความทรมานของสัตว์อื่นเป็นความน่ารักน่าชมกันไปได้

เพื่อนๆ ของเธอและตัวเธอเอง เรียกผมว่า “บิ๊กอาย” พวกเธอว่า ตาของผมโตและน่ารักเหมือนตุ๊กตาเลย (ตุ๊กตานี้ ผมรู้จักเพราะเธอผู้เป็นเจ้าของ ซื้อมาให้ผมเล่นตัวหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ ผมไม่สนใจมันเลย เจอกันก็ฉี่ใส่มันเท่านั้น ตอนแรกผมเล่นตุ๊กตานั้นบ่อยๆ จนเธอคิดเอาเองอีกว่า ผมคงชอบเล่นตุ๊กตาเหมือนเด็กๆ แต่เปล่าเลย ผมเพียงคิดถึงแม่ของผมเท่านั้น!)

ผมยังจำช่วงแรกๆ ที่คนเอาผมไปเป็นสัตว์เลี้ยงได้ เธอเลี้ยงผมตามที่เธอได้ฟังจากยัยแม่ค้าที่จตุจักร เลี้ยงผมด้วยกล้วยสุก (บ่อยครั้งมันงอมจวนเน่า) หรือไม่ก็เป็นซีรีแลกซ์ เธอคงนึกเอาว่าลูกสัตว์ คงกินเหมือนลูกคน โดยที่ไม่ได้หาข้อมูลเลยว่า สัตว์ป่าในอ้อมอกเธอกินอะไรเป็นอาหารบ้าง มีชีวิตอยู่อย่างไร? ผลที่ตามมาคือ กรรมมาตกกับผม ที่ต้องทนทรมานปวดท้อง ทั้งท้องเสียและท้องอืด ด้วยอาหารผิดประเภทที่เธอเลี้ยงดู

หนักไปยิ่งกว่านั้น พวกมนุษย์มักมีความเข้าใจที่ผิดๆ  คิดว่านางอายอย่างผมนั้น จะกินแต่ผลไม้และชอบอยู่แต่ในที่มืดๆ เมื่อเขาเลี้ยงดูผมอย่างนั้น นานวันเข้า ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในร่างกาย ผมรู้สึกอ่อนแรง ปวดร้าวที่กระดูกส่วนต่าง ๆ ไปทั่วตัว ตามหลัง ตามแขนขาและแถวก้น มันดูบิดเบี้ยวผิดรูปเหมือนผมเป็นสัตว์พิการ!   หลังจากนั้น ผมมีชีวิตที่ยากลำบาก  เพราะจะเคลื่อนไหวป่ายปีนก็ลำบาก แถมช่วงเบ่งอึนี่สิคุณเอ่ย จะขี้แต่ละทีแสนยากเย็น  โธ่! ก็กระดูกผมบิดเบี้ยวหมดแล้วนี่นา

จนเจ้าของวัยนักศึกษา พาผมไปหาคุณหมอ ที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่ง คุณหมอในโรงพยาบาล ท่านใส่ชุดสีขาว พร้อมหน้ากากปิดปากมิดชิด คุณหมอใส่ถุงมือสีขาวๆ ก่อนจับตัวผม พอท่านได้จับตัวผม มองดูอย่างละเอียดถ้วนทั่วก็หันไปพูดกับเจ้าของผมด้วยสายตาแบบตำหนินิดๆ แล้วถามเธอว่า

“ให้ 'ลูกของเธอ' กินอะไรเป็นอาหารบ้าง?” เธอก็ตอบตามที่เธอเคยเลี้ยงผมว่า

“มีให้หนอนนกบ้าง ผลไม้ต่างๆ นานาเป็นอาหารบ้าง”

“นั่นไง ผมเดาไม่ผิดเลย”

คุณหมอพูดเสียงดัง กับเจ้าของนักศึกษาสาวว่า เจ้า “บิ๊กอาย” ของคุณเนี่ย มันได้รับสารอาหารที่ไม่ถูกต้อง ถึงเป็นอย่างนี้ เพราะเราเองเข้าใจผิดๆ กัน  คิดเอาเองว่า นางอายมันกินแต่ผลไม้และชอบอยู่แต่ในที่มืด เลยเลี้ยงเขาแบบที่เราเข้าใจ แล้วก็ส่งผลอย่างที่เห็น คือเขาไม่ได้รับสารอาหารจำพวกแคลเซียมและโปรตีนอย่างสมดุล  แถมพอเข้าใจว่า เขาชอบอยู่ที่มืดๆ เพราะคิดว่ามันเป็นสัตว์กลางคืน แต่ตามธรรมชาติเนี่ย มันก็ต้องรับแสงแดดด้วย เพราะจะช่วยให้ได้รับรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตอย่างเพียงพอ  ไม่เช่นนั้นแล้ว จะทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากทางเดินอาหารและนำไปใช้สร้างกระดูกมีน้อยมาก  กระดูกส่วนต่าง ๆ ของมันจึงอ่อนตัว  กระดูกสันหลัง แขนขาและกระดูกเชิงกรานจะบิดผิดรูป   มีผลต่อการดำรงชีวิตอย่างมาก  เพราะจะมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวและการขับถ่าย…”

คุณหมอให้คำปรึกษากับเจ้าของนักศึกษาของผม ที่มักเห่ออยากได้สินค้ามีชีวิตมาเลี้ยงเพียงแค่อยากเลี้ยง โดยที่ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมได้พบกับอาหมอผู้เอื้ออารี อาหมอลูบไล้ขนทั่วตัวผมด้วยสายตาเอ็นดู ท่านคงรู้ดีว่า พวกผมลูกสัตว์ป่าต้องทนทรมานแค่ไหน? นอกจากอาหารการกินที่ไม่เหมือนธรรมชาติที่เราเกิดแล้ว สภาพที่อยู่และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนจากป่ามาสู่สังคมเมืองอย่างรวดเร็ว ลูกนางอายอย่างผมมักปรับตัวตามไม่ทัน  ช่วงเจอกันครั้งแรกๆ คุณอาหมอยังเคยรักษาโรคปอดและหลอดลมอักเสบให้ผมเลย เพราะการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมอย่างฉับพลันแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า สาเหตุนี้ทำให้ผมเซื่องซึม ไม่อยากกินอาหาร  แถมที่จมูกยังมีน้ำมูกใสๆ และไอจามอยู่ตั้งนาน

ผมสังเกตดูแล้วคุณอาหมอแลดูอาการเหนื่อยๆ ผมเดาเอาเองว่า ท่านคงเหนื่อยใจกับการต้องมารักษาพวกสัตว์ป่าที่คนไปซื้อมาเลี้ยงได้ไม่หยุดหย่อน เพราะผมจำได้ว่าทุกครั้งท่านจะบอกเสมอว่า

"เมื่อซื้อเขามาจากป่าแล้ว ก็เลี้ยงเขาดีๆ และต้องสัญญาว่า สัตว์เลี้ยงตัวต่อไปหลังจากตัวนี้ ต้องไม่เป็นลูกสัตว์ป่า"

 เห็นอาหมอแกบอกกับพ่อเจ้าของนักศึกษาที่มาด้วยว่า

“ยิ่งเราไปซื้อลูกสัตว์ป่ามาเลี้ยง จะด้วยความสงสาร หรืออยากเลี้ยงก็ตาม มันย่อมสนับสนุนให้คนขายไปจับสัตว์ป่ามาขายอีกเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่อย่างนี้

เอกสารและสิ่งอ้างอิง

 วัชระ สงวนสมบัติ. 2547.  นางอาย, น. 303-315.  ใน วัชระ สงวนสมบัติ, โดม ประทุมทอง, สมชัย เสริมสินเจริญชัยกุล และอรุณ ร้อยศรี, บรรณาธิการ.  Life on earth.  บริษัท สำนักพิมพ์กรีนแมคพาย จำกัด

http://www.petgang.com/healthy/index.php?Group=17&Id=9
http://www.petgang.com/healthy/index.php?Group=17&Id=68
 

Comments

ความคิดเห็น

ความเห็นที่ 1

มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลาน ถ้าเขารู้ถึงวิธีการได้มาซึ่งลูกสัตว์ป่าเขาคงไม่คิดจะซื้อมันมาเลี้ยง
ถ้าทุกๆคนช่วยกันสัตว์ป่าก็ยังมีความหวัง

ความเห็นที่ 2

น่าสงสารมากค่ะ 

ความเห็นที่ 3

T^T

ความเห็นที่ 4

คนเรารังแกสัตว์ในธรรมชาติมายาวนาน จนวินาทีนี้สัตว์เหล่านั้นกำลังดับสิ้นไปจากป่าดีๆที่เหลือน้อยเต็มทีเราก็ยังรังแก ที่เป็นเช่นนี้เพราะสองสิ่งหลักคือ  เห็นแก่ตัวและรู้ไม่เท่าทัน  ทางออกคือต้องหยุดคิด หยุดแล้วคิด หยุดแล้วคิด อย่างตรงไปตรงมา เท่านั้นเป็นเบื้องต้น เราไม่ค่อยฝึกตรงนี้มากพอ (เพราะคนเราจริงๆคือเป็นได้ถึงมนุษย์ แยกแยะได้จิตใจดีงามสูงส่ง) 

 

ความเห็นที่ 5

ฉันขอให้บาปกรรมตามทันคนที่ทำร้ายสัตว์ ให้มันได้รับผลกรรมในชาตินี้ สาธุ!!! ไอ้พวกวิปริต ใจดำ ไอ้คนบาป

ความเห็นที่ 6

เราก็เลี้ยงนะแต่ไม่จำเปนต้องไปตัดฟันเค้าแบบนั้นหลอก
ที่จิงแล้วเค้าน่ารักมากและก้อไม่ได้ดุเลย
แต่แนะนำว่าอย่าเอามาเลี้ยงเลยค่ะให้เค้าอยู่ในป่าดีกว่าค่ะ

ความเห็นที่ 7

เพื่อนผมคนหนึ่ง เคยหลงผิดซื้อมาเลี้ยง ตอนนี้กลับใจแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะส่งคืนธรรมชาติอย่างไร ใครมีหน่วยงานหรือมูลนิธิช่วยประสานให้ด้วยครับ

ความเห็นที่ 8

ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ ที่บ้านมีนางอายโดนไฟช็อตตกลงมาจากเสาไฟฟ้า แล้วแม่พาไปหมอค่ะ ตอนนี้โดนตัดแขนข้างขวาทั้งแขนเลยค่ะเพราะเนื้อหลุดและเน่า ส่วนข้างซ้ายไม่มีมือ คงจะโดนช็อตมาหลายครั้งจนมือเน่าและหลุดไปเอง และตอนนี้ เจ้าโชคดี (ชื่อที่เราเรียก) บริเวณขาเริ่มบวมแดง เหมือนจะเน่า อีกแล้วค่ะ ตอนนี้คุณหมอให้ยาแก้อักเสบมาทานค่ะ โชคดีก็กินค่ะ กินกล้วย กินน้ำเป็นปกติ เพียงแต่ว่า เรากลัวว่ามันจะโดนตัดขา แล้วมันจะอยู่อย่างไร ดูหน้ามันแล้วเศร้ามาก คุณหมอก็บอกคอยดูอาการ  3 วัน ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ

ความเห็นที่ 9

เศร้า

ความเห็นที่ 10

ผมประทับใจมาก ฉันมีคำถามคู่สำหรับคุณเป็นการส่วนตัว แต่ คุณคิดว่าคุณกำลังคิดเกี่ยวกับการทำติดตามการโพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้? คุณจะไปเพื่อให้นำขึ้น-to-date
PROBANA (ProbanaBS) on Twitter