: Home : Board : Articles : Expeditions : About us : Privacy Policy :

 


ทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติสำหรับคนทั่วไป

สภาพเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ค่อนข้างจะแห้งแร้ง

สภาพน้ำตกชันตาเถรที่แทบจะไม่มี”น้ำ”เหลือให้”ตก”

อีกภาพนึง สังเกตุดูดีๆ สิ...แห้งมากกกกกกก

ปลาซิวใบไผ่เล็ก (ม้าลายมุก, ม้าลายแถบขาว) (Danio cf. albolineatus)

ปลาตะเพียนน้ำตก (Puntius binotatus)

ปลาค้อเกาะช้าง (Nemacheilus kohchangensis)

ปลาก้าง เป็นปลาในตระกูลปลาช่อนขนาดเล็กที่มักพบตามแหล่งน้ำไหล (Channa limbata)

ลูกๆ ปลาก้างที่แสนจะน่ารักไร้เดียงสา

ปูน้ำตก

ตระกูลกบนา (Limnonectes sp.)

จิ้งเหลนห้วย (Sphenomorphus maculatus)

Talorana sp.

เพื่อนเก่า คางคกบ้าน (Bufo melanostictus)

ไข่คางคกบ้าน

แมงมุมอะไรก็ไม่รู้

ต้นเฟิร์นในสกุล Microsorium sp.

น้ำตกชั้นสุดท้ายที่ขึ้นมาถึง..

รูปสุดท้ายละกันนะ..เป็นภาพต้นไม้ใหญ่ที่สะท้อนจากผิวน้ำ...อดที่จะถ่ายรูปไม่ได้ครับ...
 

น้ำตกชันตาเถร ชลบุรี(ภาค 2 )

เรื่อง/ภาพ: กุ๋ย W.I.
 

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2546

ถ้าพูดถึงน้ำตกชันตาเถรแห่งนี้ ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ลุงเคยพามาแวะเที่ยวที่นี่ครั้งนึง ซึ่งผมยังจำได้อย่างดีว่า น้ำตกที่นี่แทบจะไม่มีน้ำเอาซะเลย หลายๆ คน ผิดหวังที่เสียเวลามาเที่ยวชมน้ำตกแห่งนี้ เพราะวาดความหวังเอาไว้ว่าจะได้เห็นน้ำตกสวยๆ งามๆ แต่พอมาเห็นเองกับตาก็เลยมักจะผิดหวัง จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ ทำให้น้ำตกแห่งนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเท่าไหร่นัแม้ แต่คนชลบุรีแท้ ๆ เองบางคน ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่จังหวัดตัวเองก็มีน้ำตก ส่วนพวกที่รู้ ผมเคยลองแกล้งถามดู ”พี่ๆ รู้จักน้ำตกชันตาเถรป่ะ?” เค้าตอบทันที    ”อ๋รู้จักสิ จะไปเที่ยวหรอ อย่าไปเลย เสียแรง เสียเวลาเปล่าๆ น่ะ เห็นเค้าบอกว่าน้ำไหลอย่างกะเยี่ยวหมา เปิดฝักบัวที่บ้านแล้วนั่งดู น่าจะมีความสุขกว่านะ” โอ้โฮ!! นี่ คือเสียงตอบรับจากคนเมืองชลบุรผมเลยแกล้งถามต่อไปว่า ”โอ้โหย!! ขนาดนั้นเลยหรอพี่ ว่า แต่ว่าไอ้น้ำตกเนี้ย อยู่ไกลป่ะ? ไปทางไหนอ่ะครับ?” เค้านิ่งไปนิดนึงก่อนจะตอบว่า ”อืมม คือพี่ก็ยังไม่เคยไปหรอกนะ ฟังเค้ามาอีกทีน่ะ กลัวเสียเวลาแบบเค้าว่าน่ะ ไปทางไหนพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ รู้ แต่ว่า อยู่แถวๆ ทางไปสวนสัตว์เขาเขียวน่ะ คงมีป้ายบอกทางไปแหล่ะมั้ง?”  เฮ้ออออออออ…...ตูล่ะกลุ้ม!!!! เมื่อประมาณกลางๆ ปีที่แล้ว ผมได้เคยพาเธอ และไอ้หลานตัวแสบมาเที่ยวที่นี่แล้วครั้งนึง ( คืออยากจะอวดเธอ อ่ะ ว่าจังหวัดพี่ก็มีน้ำตกเหมือนกันนะน้อง ฮ่าๆ ๆ ) แต่ดูเธอไม่ค่อยภูมิใจด้วยซักเท่าไหร่ เพราะเมื่อเธอเดินไปถึงน้ำตกปุ๊ป เธอก็บ่นทันทีว่า“ เนี่ยนะ..น้ำตก ..โถ่!!! เสียแรง อุตส่าห์เดินมาตั้งไกล ฉี่น้องนนท์ยังจะแรงซะกว่าอีก” ดู๊!!! ดู!!! เธอเปรียบเปรยซะ ( น้องนนท์ คือไอ้หลานชายตัวแสบ วัยขวบกว่าๆ ของเธอ ที่ให้ผมแบกมาด้วย) แต่ผมว่าน้ำขนาดนี้ก็ถือว่าเยอะมากแล้วนะสำหรับที่นี่! ผมโดนเธอสั่งให้พาหลานลงเล่นน้ำ ข้อหาที่หลอกเธอมาที่นีผมทำตามคำบัญชาทันที (ผมไม่ได้กลัวนะครับ ยังไงๆ ผมก็ต้องเป็นช้างเท้าหน้าอยู่แล้ว เพียงแค่ยอมให้เธอเป็นควาญช้างแค่นั้นเอง อิๆ ๆ ) ระหว่างที่เล่นน้ำอยู่กับหลานผมสังเกตุเห็นลูกปลาก้าง (Channa limbata) ตัวเล็กๆ 2-3 ตัว และ ปลาอะไรสักอย่างตัวลายๆ สีเหลืองๆ ยาวๆ เพิ่งมารู้ทีหลัง(หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่าๆ )จากบทความ “น้ำตกชันตาเถร(ชลบุรี)” ของคุณนณณ์น่ะแหล่ะ ว่ามัน คือปลาค้อเกาะช้าง (Nemacheilus kohchangensis) เราอยู่ที่นี่กันไม่นาน ก็กลับบ้าน

แต่สำหรับวันนี้ ข้ามาคนเดียว ฮ่าๆ ๆ ๆ เย้ๆ ๆ ๆ สะใจๆ !!! ผมขับรถออกจากบ้านที่ชลบุรี มุ่งหน้าสู่น้ำตกชันตาเถร ผมขับรถไปเรื่อยๆ แบบสบายๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไตาม2ข้างทาง จะเป็นไร่อ้อย และ ไร่มันสำปะหลังเกือบตลอดทาง ผมขับรถไปไม่นานก็มาถึงตรง 3 แยกที่เคยมี แต่ป้าย อ.บ.จ.(ไม่มีป้ายบอกทางไปน้ำตก) แต่ตอนนี้จะมีป้ายบอกทางไปน้ำตกแล้วนะครับ จะอยู่ข้างๆ ป้าย อ.บ.จ. แสดงไว้อย่างชัดเจนสวยงาม ผมมาถึงที่จอดรถของหน่วยฯ ประมาณ 10 โมงเช้า เป็นรถคันแรกที่เข้ามาจอด แต่…เอ???? ไม่มีใครเค้ามาเที่ยวที่นี่กันแล้วรึงัยหว่า??? รึว่า..นี่ คือ น้ำตกร้าง..กึ๋ย!!!!! ตรงบริเวณที่จอดรถจะมีป้ายขนาดใหญ่เขียนบอกไว้ชัดเจนว่า “สถานีพัฒนา และส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาเขียว ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้” ซึ่งทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบน้ำตกแห่งนี้อยู่ พอเดินขึ้นไปก่อนจะถึงบริเวณด่านตรวจตรงทางเข้า ก็จะเจอป้ายแสดงข้อมูลของน้ำตก(k.นณณ์ เคยบอกไปแล้ว) ผมอ่านจนจบแล้วก็ เตรียมตัวมุ่งหน้าสู่น้ำตกทันที บริเวณด่านตรวจจะมีป้ายบอกไว้ว่า “สถานที่ราชการ ห้ามเข้า 18.00-06.00 น.” เพื่อบอกให้รู้ว่า เอ็งต้องกลับออกมาก่อนเวลา 6 โมงเย็นเด้อ!!! ซึ่งการเดินทางเข้าไปเที่ยวชมน้ำตกที่นี่ ไม่ต้องเสียค่าบำรุง หรือ ค่าธรรมเนียม อะไรเลยซักบาทเดียว เส้นทางที่จะพาเราไปให้ถึงตัวน้ำตกนั้นจะมีให้เลือกอยู่ 3 เส้นทางด้วยกัน คือ เส้นทางแรกจะเป็นทางถนนลาดยางสำหรับรถวิ่งได้ ให้เดินตรงไปได้เลย เส้นทางที่2 ทางเข้าจะอยู่ทางด้านซ้ายมือจะเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติสำหรับคนทั่วไปที่จะต้องเดินอ้อมป่า ขึ้นภูเขา ไปจุดชมวิว และจะไปบรรจบกันเส้นทางลาดยางที่เป็นเส้นทางแรก โดยในระหว่างทางของเส้นทางนี้จะเจอทางแยกไปน้ำตก กับ ที่จอดรถซึ่งจะมีระยะทางโดยรวมประมาณ 500 เมตร เท่านั้นเอง และ เส้นทางสุดท้าย ทางเข้าจะอยู่ด้านขวามือ เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติสำหรับคนพิการ และผู้สูงอายุซึ่งน่าสนใจมาก(ฝากไว้ก่อนเต๊อะ) สำหรับวันนี้ ผมขอเลือกเดินตามเส้นทางที่ 2 แล้วกัน เพราะเคยเดินไปตามทางลาดยางมาแล้ว (แห่ะๆ ..ชักเริ่มตื่นเต้นซะแล้วสิตู!!) ทางเดินในเส้นทางนี้ ค่อนข้างเดินง่าย ไม่ค่อยลำบากอะไรมากมายอย่างที่คิด จะมีจุดแผ่นป้ายแสดงข้อมูล ความรุ้ต่างๆ ไปตลอดทาง สภาพป่าตามเส้นทางค่อนข้างแห้งแล้งมาใบไม้แห้งร่วงหล่นปูทับถมบนพื้นทางเดินไปตลอดทาง การเดินคนเดียวในเส้นทางแบบนี้ ค่อนข้างน่ากลัว ผมตื่นเต้นมาก ชักเริ่มกลัวๆ เข้าบ้างแล้วเหมือนกัน กลัวเหยียบงูที่อาจจะมาหลบอยู่ใต้ใบไม้แห้งๆ กลัวสัตว์ประหลาดโผล่ออกมางับหัว ..อ่ะจ๊ากกกกกก!!!( เริ่มฟุ้งซ่านแล้ว) อากาศตอนนี้ค่อนข้างเย็น ลมพัดกอไผ่เสียดสีกันดังน่ากลัว ผมเดินมาสักพักก็มาถึงจุดชมวิว ซึ่งวิวที่ให้ชมก็ธรรมดาๆ ไม่ค่อยน่าประทับใจซักเท่าไหร่ จึงรีบเดินต่อ ก่อนจะถึงทางออกของเส้นทาง ก็ได้เห็นฝูงกระรอกดำ 3-4 ตัววิ่งไล่กันอยุ่เสียงดังเชียว ก็ยังดีที่ยังได้เห็นอะไรบ้าง พอออกมาจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติก็จะมาเจอทางลาดยางพอดี ซึ่งเป็นจุดที่เคยมีบ่อเลี้ยงหมีเอาไว้ แต่ตอนนี้เป็นบ่อร้าง ไม่มีหมีแล้ว

ผมเดินลงเนินต่อไปอีกสักพัก ก็ถึงน้ำตกซักที น้ำตกวันนี้เงียบจริงๆ ได้ยินเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ แทนเสียงซู่ๆ ซ่าๆ เหมือนน้ำตกทั่วๆ ไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นมีใครมาเที่ยวเลย ผมรีบเดินลงไปดูแบบลุ้นๆ ว่าจะมีน้ำหรือไม่ แล้วก็เป็นไปตามความคาดหมาย คือ น้ำแห้งมากๆ แทบไม่มีน้ำไหลเลย น้ำจะขังเป็นแอ่งๆ แอ่งเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีน้ำไหลรินน้อยๆ เชื่อมถึงกัน บางแอ่งน้ำแห้งเกือบจะหมดแล้วมีปลาซิวใบไผ่ (Danio albolineatus) ฝูงเล็กๆ ประมาณ 7-8 ตัว ว่ายไปมาอยู่เหมือนรอวันตาย ซึ่ง ทำให้ผมสามารถจับมันได้อย่างง่ายดายด้วยมือเปล่า!!! ผมว่า มันต้องแห้งตายแน่ๆ เลย ก็เลยจับพวกมันทั้งหมดย้ายไปใส่ไว้ในแอ่งน้ำที่กว้างใหญ่หน่อย ขณะที่จับปลาก็ติดเจ้าน้องกุ้งตัวน้อยขึ้นมาด้วย ก็เลยกลายเป็นความโชคดีของน้องกุ้งไปที่จะได้ไม่ต้องกลายเป็นกุ้งแห้เหอๆ ๆ ผมเดินสวนทางน้ำขึ้นไปจนเกือบจะถึงน้ำตกขั้นแรกอยู่แล้ว ก็เหลือบไปเห็นปูน้ำตกสีสวย ก็เลยรีบถ่ายรูปซะก่อนจะเดินผ่านไป ผมเดินต่อไปคนเดียวเรื่อยๆ ชักเริ่มรู้สึกกลัวๆ ขึ้นมาอีกแล้ววุ๊ย น้ำตกอะไรหว่า เงียบมากเลย และตลอดทางก็จะมีไอ้เจ้าจิ้งเหลนห้วย (Sphenomorphus maculatus) ออกมาต้อนรับตลอดทาง ตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างเยอะแยะไปหมด มันจะโผล่ออกมารอต้อนรับ พอเห็นเราก็จะวิ่งหนีมุดเข้าใต้ใบไม้แห้ง เสียงดัง ซ่วบๆ !!! ทำเอาผมตกใจ แทบประสาทเสียทุกครั้ง ยิ่งบรรยากาศครึ้มๆ เงียบๆ อยู่ด้วยขนาดรู้อยู่ แล้วว่า เป็นจิ้งเหลน แต่ก็ยังตกใจแทบทุกครั้งที่เจอ บางทีเห็นหางไวๆ ก็นึกว่า เป็นงเฮ้ออออ!! จริงๆ แล้ว ผมหวังจะได้พบเห็น ตัวตะกอง หรือ ตัวลั้ง (Physignathus cocincinus) เป็นขวัญตาสักครั้ง ซะมากกว่า เพราะเป็นกิ้งก่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีคนเคยบอกว่า ได้เคยเห็นมันที่น้ำตกแห่งนี้ ตัวยาวเกือบๆ เมตรแน่ะ ( ไม่รู้ว่าโม้อ๊ะป่าว???)ผม เดินต่อไปเรื่อยๆ แบบเงียบ ๆ ช้าๆ สายตาสอดส่าย แบบมีความหวังที่จะได้เห็นตัวตะกองบ้าง แม้จะต้องหวาดผวากับไอ้พวกจิ้งเหลนห้วยพวกนี้บ้างก็ตาม

วันนี้ตลอดทางเดินจะมีผีเสื้อหลากสีสัน บินไปบินมา เยอะมากๆ คนที่ชอบผีเสื้อ คงต้องชอบแน่ๆ เลย บางแห่งจะมารุมเกาะตรงริมตลิ่งที่น้ำเกือบจะแห้งที่เป็นพื้นดินชุ่มๆ น้ำ ซึ่งคงจะมากินเกลือแร่กันเป็นฝูงเลย มากมายหลายสีสัน ก็คงเป็น เพราะมีผีเสื้อเยอะนี่แหล่ะ ทำให้ไอ้พวกจิ้งเหลนห้วยพวกนี้มาออกมาไล่จับผีเสื้อกิน เพราะเห็นกับตา ที่มันซุ่มคลานลอดใต้ใบไม้แห้งมาเงียบๆ แล้วพุ่งตัวอ้าปากงับจับผีเสื้อกิน ผมเดินไปมองผีเสื้อไปเพลินๆ ก็ต้องมาตกใจอีกครั้งจนได้ เมื่อมีตัวอะไรซักอย่างโดดลงน้ำดัง “จ๋อม.!!!!” ….” เฮ้ย !!!!" ทำไมวันนี้ตูกลายเป็นคนขวัญอ่อนไปได้ ฟะเนี่ย?? ตั้งสติได้ ก็หยุดนิ่ง นั่งลงแล้วก็ภาวนาในใจว่า “โผล่ขึ้นมาให้ดูตัวหน่อยนะ เมื่อกี๊ดูไม่ทันจริงๆ อ่ะ โดดซะเร็วแบบนั้น ใครจะดูทันล่ะ เรามาดี ไม่ทำร้ายเจ้าหรอกน่า..นะ ๆ ..” พูดยังไม่ทันจบดี มันก็โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ แล้วก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาเก๊กท่าเท่ห์ๆ บนหินให้ผมถ่ายรูป (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ..^_^ ..เหอๆ ๆ ) ซึ่งพอผมได้เห็นตัวมันปุ๊ปก็รู้ได้ทันทีเลย ว่า ตูไม่รู้จักแน่ๆ .. อิๆ (พี่น๊อต เองก็..ไม่แน่ใจว่าใช่กบสกุล Talorana หรือเปล่า) ถ่ายรูปเสร็จ ก็เดินต่อไปอีกไม่ไกล ก็พบเจ้ากบตัวนี้เข้าอีกโดยบังเอิญ ลักษณะเหมือน กบนาทั่วๆ ไปมากเลย แต่ตัวสั้นๆ แปลกๆ ผมรีบถ่ายรูปมันทันที พอถ่ายปุ๊ป มันก็มุดเข้าใต้หินทันที ..เย้ๆ ๆ !!!! ถ่ายรูปทันพอดี.. พี่น๊อต เห็นภาพแล้วบอกว่า เป็นกบที่อยู่ในสกุล Limnonectes ซึ่งเป็นสกุลเดียวกันกับกบนา แหม๋!!! ..ชักเริ่มสนุกแล้ววุ๊ย เดินต่อมาอีกนิดนึง ก็เจอปลาก้าง ตัวค่อนข้างใหญ่กว่าที่เคยเห็นมา ขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำ พอถ่ายรูปเสร็จก็ว่ายน้ำหนีไปเลย

ตลอดทางเดินผมเจอปลาก้างอีกหลายครั้ง ผมว่าปลาก้างที่นี่ค่อนข้างชุกชุมมากเจอแทบทุกๆ แอ่งน้ำเลย บางแอ่งน้ำจะมีอยู่เป็นฝูงเลย บางตัวมีสีสันที่สวยงามมากๆ เลย ขอบครีบหลัง และขอบหางสีแดงเข้มเลย สวยจริงๆ ชอบจัง!! เดินต่อไปอีกหน่อย ก็เจอก้อนหินก้อนใหญ่ขวางทางอยู่ ก็เลยต้องปีนข้ามไป แล้วกระโดดมาบนก้อนหินอีกก้อนนึง ตุบ!! ก็เหลือบไปเห็นเจ้ากบตัวนี้แอบซุ่มเงียบอยู่ในซอกหิน แปลกใจมากที่ผมกระโดดลงมาเสียงค่อนข้างดัง แต่มันนิ่งมากๆ เลย ไม่สนใจผมเลย (พี่น๊อตบอกว่าเป็นกบชนิดหนึ่งในสกุล Rana แต่ไม่แน่ใจชนิด) ผมถ่ายรูปเสร็จก็เดินต่อไปแบบเงียบๆ มันก็กระโดดลงน้ำ..จ๋อม!! (อ้าว ! เพิ่งนึกได้รึงัยฟะเนี่ย?? ตกใจอีกแย๊วตู!!!..โฮ่ยยย!!) ผมเดินต่อมาอีกไม่ไกลนักก็เจอแอ่งน้ำตื้นๆ (ไม่น่าจะลึกเกิน 3 นิ้วนะ) แต่ค่อนข้างกว้าง ผมมองหาสิ่งมีชีวิตในนั้น ผมก็ต้องตื่นเต้นดีใจอีกครั้งเมื่อมองเห็นฝูงลูกครอกปลาก้าง ที่นับคร่าวๆ ได้ประมาณ70 กว่าตัวได้มั้ง? น่ารักมากเลย ผมพยายามมองหาพ่อของมันก็ไม่เห็นมี เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหล่ะ!!! (เคยเห็น แต่ฝูงลูกครอกปลาช่อน) ผมนั่งดูอยุ่สักพัก ก็ตัดใจเดินจากมา

แล้วผมก็มาถึงแอ่งน้ำที่ค่อนข้างกว้าง แต่ไม่ลึกนัก (ประมาณหัวเข่าได้) ก็เห็นฝูงปลาซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ปลาตะเพียนฝูงย่อมๆ ว่ายไปมาอยู่ สวยจัง มีจุดสีดำที่หลัง และโคนหาง ครีบ และหางสีแดงๆ ผมลงไปไล่จับทันที เพราะอยากเห็นชัดๆ ว่า มัน คือปลาอะไรกันแน่ แต่ก็จับยากเหมือนกัน เพราะมันเร็วมาก ต้องไล่จับอยู่สักพัก ก็ได้ตัวมันขึ้นมาซึ่งมารู้ทีหลังว่า เป็นปลาตะเพียนน้ำตก (Puntius binotatus) พอถ่ายรูปเสร็จก็ปล่อยไป ซึ่งแปลกมากที่สามารถพบเห็นเจ้าปลาตะเพียนพวกนี้ ได้จากแอ่งน้ำแอ่งนี้ได้เพียงที่เดียวเท่านั้น ผมเดินมาค่อนข้างไกลแล้วนะ ก็ยังไม่มีวี่แววว่า จะมีชั้นน้ำตกสวยๆ ให้เห็น ยิ่งเดินขึ้นไปน้ำกลับยิ่งแห้ง บางช่วงน้ำแห้งไปเลย แต่ที่น่าหงุดหงิดมากก็ คือ จะพบเศษถุงขนมขบเคี้ยวแบบต่างๆ ทิ้งไว้เป็นระยะ บางครั้งก็เจอกระป๋องเบียร์ กล่องโฟม เฮ้อ…เบื่อว่ะ!!! แล้วผมก็มาหยุดอยู่ที่บ่อน้ำขนาดใหญ่ มีก้อนหินขนาดใหญ่มาก เป็นฉากอยู่ด้านหลัง คิดว่าถ้าเป็นช่วงฤดูที่มีน้ำมากๆ ตรงนี้น่าจะเป็นชั้นน้ำตกที่สวยงามจุดหนึ่งแน่ๆ ผมมองลงไปในน้ำ โอ๊ะ! นั่น ปลาก้างอีกแล้ว เอ๊ะ! โน่นปูน้ำตกตัวเบ้อเริ่มเลย แต่ไม่ยักกะมีปลาตะเพียน หรือ ปลาซิวใบใผ่ให้เห็น เฮ๊ย..ว๊าว!! นั่นปลาค้อเกาะช้างนี่หว่า!! มีหลายตัวซะด้วย สีสันสวยงามบาดใจ ต้องจับมาเป็นนายแบบ-นางแบบซะหน่อยแล้ว..เหอๆ ๆ  

จากนั้นผมก็ปีนขึ้นไปบนหน้าผาหินก้อนใหญ่ มองกลับลงมา เห็นเงาต้นไม้ใหญ่สะท้อนจากผิวน้ำ โอ้ว!!! ไอเดียบรรเจิดครัสวยจัง ผมเดินต่อไปอีกสักพักก็เจอผาหินขนาดใหญ่ สูงมาก ผมพยายามมองหาป้าย เผื่อจะเจอป้ายบอกว่าเป็นน้ำตกชั้นที่ 3 ที่ชื่อว่า สี่หลั่นรึป่าว? แต่ก็ไม่เห็นมีป้ายบอก เห็น แต่ที่หน้าผาหินจะมีเชือกผูกไว้ให้ไต่ขึ้นไป ซึ่งจะต้องลุยน้ำที่ค่อนข้างลึกเข้าไปให้ถึงหน้าผานั้นแล้วต้องปีนหินขึ้นไปอีกนิดนึงจึงจะถึงปลายเชือก ผมคาดการณ์ดูแล้ว ว่าจะไต่เชือกขึ้นไปต่อดีหรือไม่ อืมมม.. ไม่เอาดีกว่า ยอมแพ้!!! เพราะเริ่มเหนื่อย หิวก็หิว แล้วก็เริ่มหมดแรงแล้วด้วย ก็เลยขอนั่งพักสักหน่อยเห่อะ แล้วก็ลองมองไปรอบๆ เพื่อหาเส้นทางที่จะเดินต่อไป โอ้โห!! ถ้าจะไม่ลุยน้ำปีนหินไปไต่เชือก ก็จะต้องปีนขึ้นไปทางด้านข้างๆ หน้าผา ซึ่งเป็นดินที่สูงชัน มีร่องรอยการพยายามตะเกียกตะกายขึ้นไป ให้เห็นอยู่บ้าง “โอยยย ..ม่ายหวายแย๊ว…เหนื่อยแย๊ว!!!! “ (ขาทั้ง 2 ข้างของผม มันพร้อมใจกันตะโกนบอกผมพร้อมๆ กัน…หุๆ ๆ ) ขณะที่ผมกำลังนั่งพักผ่อนอยู่เพลินๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย มา แต่ไกล ฮ่าๆ มีคนมาแล้ววุ๊ย..ผมมองไปตามต้นเสียง ก็เห็นหนุ่มสาววัยรุ่น เดินหยอกล้อ กันมา เค้าคงไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีคนอยุ่ เพราะพอเห็นผมแล้วเค้าก็ทำท่าตกใจ (ทำไมต้องตกใจด้วยหว่า?? ผมออกจะหน้าตาดี..เน๊อะๆ ) เมื่อทั้ง2คนมาถึงที่ที่ผมนั่งพักอยู่ ผมชักเริ่มรุ้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงไม่รุ้ (ก้ะด้ะๆ .. ไปก็ได้ฟะ!!! เจ๊อะ!!!) ผมเดินกลับลงมาค่อนข้างเร็ว เพราะตอนขาขึ้นไปนั้นผมจะไปค่อนข้างช้า คือไปแบบเก็บรายละเอียด ตอนลงกลับมาก็เลยไม่ค่อยได้สนใจอะไรมากนัก แต่แล้วก็ต้องเบรค เอี๊ยดดดด!!!!! เมื่อเห็นสัตว์รูปร่างคล้ายคางคกอยู่ระหว่างก้อนหินที่ผมกำลังจะกระโดดข้ามไป ทีแรกผมนึกว่าเป็นจงโคร่ง (Bufo asper) ก็เลยหยุดดู..อ้าว!! ไม่ใช่นี่หว่า มัน คือ คางคกบ้าน (Bufo melanostictus) แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์หยุดดูมันแล้ว ก็ถ่าย      รุปมันเก็บไว้หน่อยก็แล้วกัน

ผมเดินกลับลงมาอีกไม่ไกลมาก ก็เจอไข่ของอะไรบางอย่าง ลอยเป็นแพอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นของกบ เขียด หรืออะไรสักอย่างแน่ๆ และที่ใกล้ๆ กันนั้น ก็มี แมงมุมลาย สีสวย อยุ่บนใบไม้ที่ลอยน้ำอยุ่ แหม๋!! มันช่างสวยน่ารักดีเหลือเกิน ใกล้ๆ ก็มีต้นเฟิร์นอะไรไม่รุ้ สวยจัง ต้องถ่ายภาพเก็บไว้ซะหน่อยแล้ว กำลังถ่ายรูปเจ้าแมงมุม กับ ต้นเฟิร์นอยู่ ก็ได้ยินเสียงเด็กๆ กลุ่มใหญ่ เสียงดังมา แต่ไกล ก้มดูเวลาตอนนี้ บ่าย2โมงครึ่งแล้วนี่หว่า มิน่าล่ะ!! ถึงหิวเหลือเกิน ตอนนี้เริ่มมีคนทะยอย มาเที่ยวเรื่อยๆ พอผมเดินสวนกับใคร เค้าก็จะถามแทบทุกคนว่า  ”ข้างบนเป็นงัยบ้าง? สวยมั๊ย? มีน้ำมั๊ย? ไปอีกไกลมั๊ย?“ ผมตอบได้ แต่เพียงว่า “คงต้องไปชมเอาเองนะครับ เดินไปอีกไม่ไกลหรอกครับ แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่าน้ำตกที่นี่สวยดีครับ ธรรมชาติดี ผมชอบ” แล้วก็ยิ้มให้เค้าแบบน่ารักๆ ( แหว่ะๆ ๆ !!!! )

ผมเดินกลับมาตามทางลาดยาง ซึ่งเส้นทางในขากลับนี้ จะต้องเดินขึ้นเนินที่ค่อนข้างไกล โอยยย…ทำไมมันไกลอย่างนี้ฟะเนี่ย เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดฟะ เล่นเอาเหนี่อย ปวดเมื่อยขาไปหมด กว่าจะถึงที่จอดรถ วันนี้ผมสนุกมากๆ ทั้งตื่นเต้นดีใจ และประทับใจที่ได้พบ ได้เห็น สัตว์ต่างๆ มากมาย ต้นไม้สวยๆ น้อยใหญ่ที่ แน่นขนัดตลอดทั้ง2ข้างทางของลำธารน้ำตก บรรยากาศธรรมชาติๆ ที่สดชื่น ตลอดเส้นทางเดิน ซึ่งถึงแม้ว่า น้ำตกแห่งนี้ จะเป็นเพียงน้ำตกเล็กๆ ที่ไม่ได้สวยงามอะไร และแทบไม่มีใครรุ้จักก็ตาม.. แต่ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ให้ความรุ้ ให้ความสุขกับผมได้อย่างมากมาย ถึงยังไงก็ตาม ผมก็ยังอยากจะมาที่นี่อีก ยังมีอีกหลายสิ่ง ที่ผมยังอยากจะรุ้ อยากจะเห็น อยากค้นหา แต่..ผมยังไม่ได้ทำซึ่งผมต้องมาที่นี่อีกแน่ๆ สวัสดีครับ..!!

more survey ...

 

www.siamensis.org - Thailand Fish & Nature Explorer
An independent non-profit group
Established 2001
 All Rights Reserved 2001-2010 ©siamensis.org