: Home : Board : Articles : Expeditions : About us : Privacy Policy :
 

 

ต้นลานขึ้นอยู่ริมถนน

ระหว่างทางไปเขาแผงม้าโล่งเตียนกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมไปหมดแล้ว

ศาลาริมถนนกับต้นราชพฤกษ์ และหางนกยูง ออกดอกพร้อมกันตัดกันสวยมากๆ

หลังจากหาน้ำมาทั้งวัน ในที่สุดเราก็มาเจอน้ำที่แก่งงูเห่า

ต้นคริบ (Cryptocoryne crispatula var. crispatula) ขึ้นอยู่ริมฝั่งพร้อมกับหญ้าน้ำชนิดหนึ่ง

ฝูงปลาสร้อยบัว (Lobocheilus rhabdoura)

ฝูงปลาสร้อยบัว (Lobocheilus rhabdoura) ใกล้ๆ ชัดๆ

ปลาเลียหิน (Garra sp. taeniata) ชอบอาศัยอยู่ตรงจุดที่น้ำไหลแรง

ปลาเลียหิน (Garra sp.) ชนิดมีนอที่ถ่ายภาพมาได้ แต่เงาดำๆ

ลูกปลากะสูบขีด (Hampala macrolepidata)

ปลากะทิงลาย (Mastacembelus favus) กับที่อยู่แบบใหม่

ญาติปลาเล็บมือนางชนิดหนึ่ง (Crossocheilus reticulatus)

ปลาตะเพียนน้ำตก (Puntius aurotanietus)

ปลาหลดภูเขา (Macrognathus circumcinctus)

ปลาหมอช้างเหยียบ (Pristolepis fasciatus) (กุ๋ยถ่าย)

ปลาเสือข้างลาย (Puntius partipentozona ) กับ ปลาซิวสุมาตรา (Rasbora sumartrana)

านหินทรายส่วนหนึ่งของแก่งงูเห่า เจ้าหน้าที่บอกว่า แต่ก่อนเจองูเห่าเยอะในบริเวณนี้

บรรยากาศที่แก่งวังไทร

สบายกว่านี่มีอีกไหม?

ลากันด้วยภาพร้านขายข้าวโพดแปดแถวริมถนน ตัวข้าวโพดลืมถ่าย เพราะกินหมดก่อนครับผม แต่ยืนยันว่ามีแปดแถวจริงๆ นะ

 

 

ต้นแม่น้ำบางปะกง

๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗
เรื่อง:กุ๋ย เรียบเรียงอีกที โดย แนนซี่

ภาพ/บรรยายภาพ: นณณ์ ผาณิตวงศ์

ท่ามกลางความร้อนแรงแห่งแสงสุริยาที่ถั่งโถมสาดส่องลงมาแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นผิวโลกอย่างบ้าคลั่งกลางเดือนเมษายนแบบนี้  คุณจะทำอะไรกันดี?

บางคนเลือกที่จะหลบซ่อนตัวกบดานนิ่ง เปิดแอร์เย็นๆ อยู่ในบ้าน บางคนก็เลือกที่จะหลบหนีความร้อนออกไปเดินตากแอร์เย็นๆ ตามห้างสรรพสินค้า..ในขณะที่บางคนกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความร้อนแรงของแสงแดด ออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ... แต่ไม่ว่า คุณจะเลือกการ “หลบนิ่ง” “วิ่งหนี” หรือ “เผชิญหน้า” ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า วิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่มันน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดเฉพาะของ แต่ละคนมากกว่า..ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสัตว์ป่าทั่วๆ ไป  ที่บางชนิดก็เลือกที่จะหลบซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ ในซอกรูหรือพรางตัวนิ่งๆ เพื่อเอาตัวรอดจากศัตรู แต่บางชนิดก็เลือกที่จะวิ่งหนีศัตรูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่บางชนิดกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างพร้อมจะต่อสู้ในรูปแบบเฉพาะของตัวมันเอง  สัตว์ป่าทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่า
มันควรจะเลือกทำตามสัญชาตญาณแบบไหนอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับตัวมันเองที่สุดในการเอาตัวรอดให้ได้ จากศัตรูที่น่ากลัวในธรรมชาติ...

“NE   37 C ” 
ปรากฏบนหน้าจอแสดงผล ภายในรถ Jeep สีทอง เพื่อบอกให้คนทั้งสามคนที่วันนี้มีสัญชาตญาณในการเผชิญหน้าแบบบ้าๆ เหมือนๆ กันทราบว่า  ขณะนี้มันกำลังพาทุกคนมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือภายใต้อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ...

วันนี้ผมกับน้องแนนขึ้นรถบัสออกเดินทางจากชลบุรีมาตั้ง แต่เช้ามืด เพื่อมาเจอกับ    นณณ์ที่จุดนัดหมายเดิม แต่ เพราะเกิดอุบัติเหตุทางเวลากับผมนิดหน่อย( อิๆ )..
ทำให้มาถึงจุดนัดหมายช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้จนได้...ซึ่งก็เพียงพอที่จะ ทำให้นณณ
์ต้องรอจนเริ่มจะเบื่อได้เหมือนกัน เห่ะๆ ๆ   โทษทีกั๊บ  ^_^!

...เดิมวันนี้เราตั้งใจกันว่าจะไปสำรวจแหล่งน้ำ ดูปลากันที่ เขาใหญ่ กัน แต่เกรงว่ารถจะเยอะคนจะแยะ....ก็เลยเปลี่ยนหมาย ไปเป็นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน แทนสถานที่แห่งนี้น่าสนใจ เพราะเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำ 2 สายที่มีปลาแตกต่างกันอย่างสิ้นเฉิง คือต้นแม่น้ำบางปะกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำภาคกลาง แต่ถ้าข้ามเขาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ลำธารบนนี้ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำโขง หรือต้นแม่น้ำมูลนั่นเอง

อุทยานแห่งชาติทับลาน  เป็นอุทยานฯที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบุพราหมณ์ในเขตอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี, อำเภอปักธงชัย อำเภอวังน้ำเขียวอำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,400,000 ไร่ เป็นอุทยานฯ
ที่มีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าลานขึ้นตามธรรมชาติซึ่งถือเป็นป่าลานผืนใหญ่แห่งสุดท้ายของประเทศไทย 

“พี่นณณ์  ต้นใหญ่ๆ นั่นต้นอะไรคะ ?”  เสียงน้องแนน ถามนณณ์เมื่อเริ่มมองเห็นต้นไม้ใหญ่รูปร่างแปลกตาตามสองข้างทางหลังจากที่พวกเราออกมาจากแยกกบินทร์ ได้สักประมาณครึ่งชั่วโมง  “เนี๊ย? ก็ต้นลานอ่ะดิ” นณณ์ตอบ ..ผมมองตามสายตาน้องแนนขึ้นไปจนเห็นต้นลานขนาดใหญ่ ทำให้ผมนึกถึงคำพูด ที่ว่า..“ใครที่ทุบตีพ่อตีแม่
ตายไปจะกลายเป็นเปรต  ปากเล็กเท่ารูเข็ม  มือใหญ่เท่าใบลาน”   โอ้โห มือใหญ่เท่าใบลาน !!! ผมก้มมองมือของตัวเองที่กางออกจนสุด และเงยหน้าขึ้นมองไปที่ใบลานซึ่งถือเป็นหนึ่งในใบไมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง พลางคิดจินตนาการอะไรต่อมิอะไรไปต่างๆ นานา

ต้นลานเป็นไม้วงศ์ปาล์ม ที่ขึ้นอยู่เฉพาะถิ่นมีขึ้นอยู่แค่เพียงเฉพาะบางท้องที่เท่านั้น ทำให้มีการแพร่กระจายที่แคบมาก ซึ่งอาจเป็น เพราะว่า ต้นลานเป็นต้นไม้ที่มีการเจริญเติบโตช้ากว่าจะออกดอกได้ต้องมีอายุถึง 20-30 ปี และกว่าดอกจะกลายเป็นผลก็ยังใช้เวลาอีกตั้ง 1 ปีพอผลเริ่มที่จะร่วงลงพื้นเมื่อไหร่ ต้นลานต้นนั้นก็พร้อมที่จะตายได้ทันที 

..ไม่นานนัก เราก็ได้เห็นป่าลาน ขึ้นแน่นทึบเต็มไปหมดทางด้านขวามือซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติทับลาน แต่นณณ์ตัดสินใจขับรถผ่านไปก่อน เพื่อจะไปยังหมายที่เราต้องการสำรวจก่อน...ตลอดเส้นทางจะข้ามผ่านสะพานเล็กๆ มากมาย สร้างความตื่นเต้น ให้พวกเราคอยลุ้นอย่างมีความหวังทุกครั้งที่รถข้ามผ่าน ว่า
น่าจะพอมีน้ำใสไหลผ่านให้เห็นบ้าง.. แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นแค่เพียงผืนดินที่แห้งผากหรือไม่ก็ดงหญ้ารกร้างไม่มีน้ำให้เห็นเลยแม้ แต่หยดเดียว..

“น้องครับ ที่นี่ยังมีน้ำอยู่รึเปล่าครับ” ผมเลื่อนกระจกรถลงแล้วตะโกนถามเด็กชาวบ้านสองคนที่นั่งอยู่ในศาลารอรถ  “ไม่มีแล้วครับ แห้งหมดแล้วครับ” เด็กทั้งสองคนช่วยกันตอบ  “พอมีบ้าง หรือ ไม่มีเลยครับ” ผมถามย้ำอีกที เพื่อความแน่ใจ.."ไม่มีล้ว ครับ” ......เฮ้อออออออออออ....แห้วอีกแล้ว!.....เมื่อเราได้ฟังคำตอบเช่นนี้
จึงตัดสินใจที่จะหยุดพัก เพื่อตั้งหลัก และสร้างขวัญกำลังให้กับตัวเองกันก่อนโดยการแวะกินก๋วยเตี๋ยวกันที่ร้านข้างๆ ศาลานี้แหล่ะจะได้ถือโอกาสถามไถ่ชาวบ้านบริเวณนั้นถึงแหล่งน้ำต่างๆ ไปด้วย หลังจากที่ผิดหวังแล้วผิดหวังอีก ซ้ำๆ กันไม่รู้กี่ครั้งแล้วในวันนี้ เราซัดก๋วยเตี๋ยวกันชนละชาม ก่อนที่นณณ์จะตัดสินใจบังคับให้เจ้า Jeep สีทอง วิ่งบึ่งพาพวกเรามุ่งหน้าขึ้นเขาสู่อำเภอวังน้ำเขียวต่อไปอย่างมีความหวัง โดยไม่ยอมหมดความพยายามลงง่ายๆ  พวกเรามุ่งหน้าไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 304 ได้สักพัก นณณ์ก็ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามป้ายที่เขียนบอกไว้ว่า “เขาแผงม้า” ด้วยความหวังที่จะได้เจอแหล่งน้ำกันบ้างซักที “มันน่าจะมีน้ำบ้างหล่ะน่า” นณณ์พูดพึมพัมคนเดียวเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเอง

พวกเรามุ่งหน้าไปตามเส้นทาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ไร่มันสำปะหลัง และทุ่งหญ้าโล่งๆ ภูเขาหัวโล้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ทั้งๆ ที่ในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้งที่อุดมสมบูรณ์จนเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำพระเพลิงซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำมูล แต่เนื่องจากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ป่าแห่งนี้กลับถูกบุกรุกคุกคาม แผ้วถางตัดไม้ทำลายป่าจนกลายสภาพเป็นภูเขาหัวโล้นอย่างที่เห็น..จนกระทั่งเมื่อปี 2537 มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
ได้เข้ามาดำเนินการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ เป็นปีที่ 50 และร่วมมือกับชาวบ้านท้องถิ่นช่วยกันป้องกันไฟป่า และพลิกฟื้นผืนป่าแห่งนี้ขึ้นมาจนกลายเป็นป่าที่ชุ่มชื้นขึ้น เริ่มมีฝูงกระทิง และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ กลับมาหากินให้เห็นในพื้นที่ปลูกป่าได้ทุกวัน ทำให้ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศที่เกื้อหนุนกันให้เกิดความสมดุลในธรรมชาติเริ่มเกิดขึ้นที่นี่อีกครั้ง..  

ไม่นานนักเราก็มาถึงศูนย์ประสานงาน มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทยฯ  บนเนินเขา สอบถามได้ความว่า ฤดูแล้งแบบนี้แหล่งน้ำในแถบจะแห้งหมด ส่วนกระทิงนั้นก็มักจะออกมาตอนเย็นๆ ในหุบเขาที่เราต้องขับรถเข้าไปอีกตามทางดินลูกรัง เราจึงเลือกซื้อของที่ระลึกใน “ร้านกล้วยป่า” ก่อนจะตัดสินใจถอยกลับออกมาอย่างผิดหวัง(อีกแล้ว) ตรงปากทางออกมีป้ายบอกชี้ให้เลี้ยวซ้ายไปน้ำตกสวนห้อม พวกเรามีความหวังขึ้นอีกครั้ง แต่สุดท้ายพวกเราก็หลงทาง ถูกปล่อยทิ้งโดยป้ายบอกทาง และยังมีอีกหลายน้ำตกที่พวกเราพยายามจะไปกัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เพราะชาวบ้านบอกว่าไม่มีน้ำแล้ว


บ่าย 2 โมงกว่าแล้ว พวกเรายังไม่เจอน้ำกันเลยแม้ แต่หยดเดียวตัวเลขอุณหภูมิที่แสดงบนหน้าจอแสดงผลในรถ ก็ขึ้นไปถึง 39 องศาเซลเซียสแล้ว...ความร้อนแรงแห่งแสงแดดเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ความร้อแรงแห่งไฟปรารถนาในใจเริ่มแผ่วลง
“กลับไปเดินจตุจักรกันดีกว่า” นณณ์พูดอย่างเริ่มหมดหวังผมเองก็ชักจะเห็นด้วยซะแล้ว..“พี่คะ ไปเที่ยวแก่งหินเพิงกันมั๊ยค่ะ แนนอยากไปดูที่ล่องแก่ง” น้องแนนพูดขึ้นมาหลังจากที่นึกถึงป้ายโฆษณาที่ติดไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว “อืมมมม...จริงสิ ! มันน่าจะมีน้ำบ้างนะ” ผมเห็นด้วยขณะที่มองเห็นป้ายทางเข้าแก่งหินเพิงอยู่เบื้องหน้า เราไม่มี เวลาคิดตัดสินใจกันมากนัก ในที่สุด นณณ์ก็ตบไฟเลี้ยวขวาทันทีก่อนจะมุ่งหน้าสู่ความหวังสุดท้ายของพวกเรา..

เจ้าสีทองพาพวกเราผ่านถนนดินขรุขระ มาสักพัก ก็มาถึงด่านของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  ที่ 9 (ขญ.9) ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลพื้นที่นี้อยู่   ทางเจ้าหน้าที่บอกเราว่าถ้าจะมาเที่ยวล่องแก่ง จะต้องมาในช่วงฤดูฝนราวเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำหลาก ล้นแก่ง และไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ เหมาะสำหรับการล่องแก่งได้อย่างสนุกสนาน แต่วันนี้ พวกเราไม่ได้มาที่นี่ เพื่อล่องแก่ง พวกเรามาตามหาน้ำ พวกเราตามหากันมาตั้ง แต่เช้าจนตัวจะแห้งตายกันอยู่แล้ว..เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า ที่นี่มีน้ำตลอดทั้งปีแม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่น้ำน้อยที่สุดของปี แต่ก็ยังมีน้ำใสๆ ไหลให้เห็นอยู่พอสมควร และยังแนะนำอีกว่า หากต้องการความเป็นส่วนตัวให้ไปที่แก่งงูเห่า  ใต้ต้นมะขาม  ...โอ้ววว ว้าวววว...!!!
ดูดวงตาของคนบ้าทั้ง 3 คนนี้สิ  ขณะนี้ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายระยิบระยับไปหมด  ต้นมะขาม !..ต้นมะขาม! ..นณณ์รีบขับรถมุ่งตรงไปยังต้นมะขามด้วยความตื่นเต้นทันที ..

“ย๊ะฮู๊ววววววว !!! เจอน้ำแล้วเว๊ยยยย ฮ่าๆ ๆ ” นณณ์ตะโกนร้องลั่นอย่างสะใจ หลังจากที่จอดรถ และรีบกระโดดลงรถออกไปดูก่อนใครพร้อมทั้งรีบแบกเป้ใส่อุปกรณ์ดำน้ำ กล้องถ่ายรูป และเสื้อผ้าล่วงหน้าลงไปก่อนอย่างรวดเร็วเหมือนคนที่กำลังจะขาดน้ำจนใกล้ตายแล้วได้มาเจอแหลงน้ำที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายก็ไม่ปาน...กั่กๆ ๆ ...ว่า  ไปนั่น! โดยทิ้งกุญแจรถไว้เบื้องหลัง..   กว่าผมกับน้องแนนจะลงไปถึงนณณ์ก็ลงไปดำน้ำดูปลาอยู่ในน้ำเรียบร้อยแล้ว เห็นเพียงแค่ปลาย snorkel สีสะท้อนแสง เท่านั้น ที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา..

แก่งหินเพิง  มีต้นกำเนิดจากยอดเขาใหญ่ เริ่มจากน้ำตกวังเหวไหลลงมาถึงแก่งหินเพิง ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำบางปะกง เป็นแก่งหินตอนปลายสุดของแม่น้ำใสใหญ่ซึ่งมีลักษณะทางธรณีวิทยาเป็นชั้นหินทราย
ครั้นเมื่อถึงฤดูฝนกระแสน้ำจะไหลหลากอย่างรุนแรงจน ทำให้เกิดเกาะแก่งต่าง ๆ
มากมาย

ส่วนแก่งงูเห่า ที่พวกเราลงไปดำน้ำสำรวจกันวันนี้ หากอยู่ในช่วงฤดูฝนกระแสน้ำจะไหลท่วมเกาะแก่งต่าง ๆ จน ทำให้แก่งแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับฝายกั้นน้ำ  แต่วันนี้ที่นี่
มีปริมาณน้ำไม่มากนัก ทำให้แลเห็นเกาะแก่งต่าง ๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพอสมควร
อีกทั้งยังไม่เป็นส่วนตัวซักทีเดียวนัก เพราะยังมีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเล่นน้ำอยู่ก่อนแล้ว..

“เฮ๊ยกุ๋ย ..ปลาเยอะดี มีหลายชนิดเลย” นณณ์โผล่หัวขึ้นมาพูดเหมือนจะชักชวนให้ผมตามลงไปดำน้ำดูบ้าง แล้วก็มุดหัวหายลงใต้น้ำดูปลาต่อไป  แต่วันนี้ผมไม่ได้นำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนอ่ะดิ.. แล้วก็ยังลืมนำ snorkel คู่ชีพมาอีกด้วย  มีเพียงแว่นตาว่ายน้ำของน้องแนนเท่านั้น  อ้าววว !!! แล้วจะทำไงดีล่ะทีนี้ ...อยากก็อยาก แต่ก็ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน...ทำไงดี?  ทำไงดี?...หรือว่า...ปิ๊ง!!! ในที่สุดผมก็ทนเสียงเรียกร้องในใจไม่ไหวจึงตัดสินใจแก้ผ้าใส่กางเกงในตัวเดียวลงไปดำน้ำดูปลาจนได้ ขณะนี้ความอายของผมมีน้อยกว่าความอยากที่จะดำน้ำดูปลาหลายเท่านัก แต่น้องแนนสิ อายแทนผมจนหน้าแดงเลย หุ ๆ ๆ  

วันนี้น้ำที่นี่ไม่ใสมากนัก สีออกเหลืองๆ หน่อย แต่ก็เพียงพอที่จะมองเห็นโลกใต้น้ำได้อย่างชัดเจน ผมดำน้ำแยกออกจากนณณ์ที่กำลังพยายามถ่ายภาพใต้น้ำไปคนละทาง
การดำน้ำสำรวจดูปลาครั้งนี้ผมรู้สึกค่อนข้างเหนื่อย เพราะต้องคอยโผล่ขึ้นมาฮุบอา
กาศ เพื่อหายใจ ยิ่งเวลาเจอภาพปลาสวยๆ ก็มักจะหมดลมหายใจที่กลั้นไว้จำต้องตัดใจโผล่ขึ้นผิวน้ำทุกทีอย่างน่าเสียดาย..

โอ้ว...ว๊าววววว....ฝูงปลาสร้อยบัว (Lobocheilus rhabdoura) หลายสิบตัวกำลังรุมกินตะไคร่น้ำบนก้อนหินข้างหน้าผม อย่างไม่สนใจผมเลยช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจอย่างมากเกินกว่าจะอธิบายให้คนที่ไม่เคยเห็นเข้าใจได้  อ้าว! นี่มัน ต้นสันตวาใบข้าว (Blyxa sp.) นี่นา กำลังโบกสะบัดพัดปลิวไสว ส่ายไปมาเบาๆ ช่างเป็นไม้น้ำที่สง่างามยิ่งนัก ที่แก่งน้ำแรงนั่นแน่ จ๊ะเอ๋.. เจ้าปลาเลียหิน (Garra sp. taeniata) มาแอบอะไรอยู่ในซอกหินตรงนี้จ๊ะ  อื้อฮือ!! เจ้าลูกปลากะสูบขีด (Hampala macrolepidata) สองตัวนี้ สีสวยจัง..“เอ๊ะ..ใครมาทิ้งกระป๋องเบียร์ลงน้ำแบบนี้ฟะ น่าเกลียดที่สุด” ในขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกระป๋องเก็บไปทิ้งในถังขยะบนฝั่ง ปรากฏว่าเจ้าปลากะทิงลาย (Mastacembelus favus) ก็โผล่หัวออกมาทักทายยักคิ้วให้ผมทีนึงแล้วก็ไม่สนใจผมอีกเลยผมเฝ้าดูอยู่นานด้วยความเอ็นดูในความน่ารักของมันบวกกับความน่าสงสารที่มันต้องมาอาศัยอยู่ในขยะแบบนี้  จนทนไม่ได้ต้องไปตาม นณณ์ให้มาถ่ายรูปเก็บไว้ ก่อนจะขึ้นมานั่งพักเหนื่อยบนเกาะก้อนหินกลางน้ำจนหายเหนื่อยแล้วก็มุดลงน้ำต่อ..

  ..วู๊วว ๆ ๆ ๆ    ญาติปลาเล็บมือนาง (Crossocheilus reticulatus) กำลังแทะกินตะไคร่น้ำบนก้อนหินอย่างเอร็ดอร่อยในระยะประชิดกับผมโดยที่มันไม่รู้ตัว  ผมไม่เคยเข้าใกล้มันได้ขนาดนี้มาก่อนเลย  เหลือบตาขึ้นมาที่กลางน้ำ ก็เห็นปลาน้ำหมึก (Barilius koratensis) 2 ตัวว่ายเคียงคู่กันอยู่ ผมส่งเสียงอู้อี้ๆ ในคอด้วยความตื่นเต้นอยู่ใต้น้ำสลับกับการโผล่ขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องโผล่ขึ้นมานั่งพัก ดูปลาเข็มที่ลอยตัวนิ่งคู่กันอยู่บนผิวน้ำริมตลิ่ง ในขณะที่น้องแนนชี้ชวนให้ผมดูลูกปลาจาด (Poropuntius sp.) และ ลูกปลาตะเพียนน้ำตก
(Puntins aurotaeniatus) ตัวสีเงินๆ ที่ว่ายกันอยู่ในแอ่งหินใกล้ๆ

“เฮ๊ยๆ ๆ ..กุ๋ยๆ ..ปลามีนอ....มาช่วยจับหินไว้หน่อยเร็ว..จะถ่ายรูป” นณณ์โผล่หัวขึ้นมาเรียกผม หลังจากที่พยายามถ่ายรูปคนเดียว แต่ไม่สำเร็จผมรีบตามไปช่วยสมทบทันที.. “ได้มั๊ย ถ่ายรูปได้มั๊ย?” ผมลุ้นด้วยความตื่นเต้น เพราะอยากเห็นปลาตัวนี้บ้าง
แต่สุดท้ายเจ้าปลาตัวนี้ก็อาศัยช่วงชุลมุนหลบนี้ไปได้  เหลือเพียงภาพมืดๆ ทิ้งไว้ให้เห็นในกล้องของนณณ์  มันเป็นปลาเลียหิน (Garra sp.) ชนิดหนึ่งแน่ๆ แต่เราไม่รู้ว่าเป็นชนิดไหน รวมถึงปลาหลดภูเขา (Macrognathus circumcinctus) ด้วยที่ในภาพมีให้เห็นชัดเพียงแค่หางเท่านั้นในขณะที่ส่วนหัวจะโผล่ออกมาให้เห็นนิดหน่อยในรกไม้ เป็นการเลี้ยงตัวอยู่ในน้ำที่ไหลแรงโดยการขัดตัวเองไว้กับรกไม้อย่างฉลาดของปลาชนิดนี้

“อ่ะ  ลองดูบ้างมั๊ย?”  นณณ์ยื่นกล้องให้ผมลองถ่ายรูปใต้น้ำดูบ้าง เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองพยายามใช้งานมันใต้น้ำซึ่งก็ ทำให้เข้าใจ แล้วว่าในการถ่ายภาพใต้น้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยยากมากกว่าการถ่ายภาพบนบกหลายเท่า(ซึ่งการถ่ายภาพบนบกนี่ก็ยากแล้วสำหรับผม) ทั้งกระแสน้ำ แสง ความขุ่นของน้ำ และที่สำคัญก็เจ้าปลานายแบบนางแบบพวกนี้แหล่ะที่ว่ายไปมา ไม่ยอมให้ถ่ายได้ง่ายๆ   ...ผมพยายามจะถ่ายรูปปลาหมอช้างเหยียบ (Pristolepis fasciatus) คู่หนึ่งที่กำลังว่ายหากินอยู่ที่พื้นทราย แต่กล้องก็หาตัวปลาไม่เจอบ้าง แสงไม่พอบ้าง จับโฟกัสไม่ได้บ้าง พอใกล้จะได้โฟกัส ปลาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ผมก็หมดลมซะก่อนต้องโผล่ขึ้นไปหายใจซะก่อนที่จะขาดใจตาย...เฮ้อออ...!! ไม่สำเร็จ ผมพยายามใหม่อีกครั้ง แต่ปลาหมอก็หายไปแล้ว เอ...หายไปไหนหว่า? ขณะกำลังมองหาอยู่นั้น ฝูงปลาเสือข้างลาย (Puntius partipentozona ) ประมาณ 3-4 ตัว ก็ว่ายผ่านหน้าไปอย่างช้าๆ ผมมัว แต่ตะลึงในความน่ารักสดใสของมันจนลืมถ่ายรูป.. แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้เอากล้องไปคืนนณณ์ที่กำลังกวักมือเรียกให้ไปดูลูกปลากะสูบหางสีแดงเข้มที่อยู่อีกฟากนึงของแก่ง..นณณ์ยังถ่ายภาพโน่นถ่ายภาพนี่อยู่อีกสักพก ในขณะที่ผมใส่เสื้อผ้าแล้ว..

สักพักเราก็เดินเท้าไปยังแก่งวังไทร ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ที่แก่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่มาเล่นน้ำกันเราเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากก้อนหินเล็กใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำกระจัดกระจายเต็มไปหมด และเสียงตีเกราะเคาะไม้ตามประสาคนเมาอย่างสนุกสนานส่วนแก่งหินเพิงนั่นต้องเดินเท้าไปอีกเป็นกิโล..พวกเรามองหน้ากันแล้วก็พยักหน้าหงึ่กๆ กลับกันเห่อะ! เราออกมาจากบริเวณแก่งหินเพิงด้วยความหิวโหยจนต้องแวะซื้อไก่ย่างกินประทังชีวิตไปก่อน และระหว่างทางกลับก็แวะซื้อข้าวโพดแปดแถวอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นชื่อของที่นี่กลับมาด้วย แปลกดี อิ่มด้วย ผมเองก็ซัดไปบนรถหลายฝัก ..อิๆ   แม้วันนี้เราจะผิดหวังติดต่อกันหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

แอ๊งอิ้วหลายๆ เด้อ...แก่งหินเพิง..!!ที่ ทำให้วันนี้พวกเราได้กินข้าวโพดแปดแถวกับไก่ย่างแทน"แห้ว"(นึกว่าวันนี้จะได้กินแห้วซะแล๊นนนน)....ย๊ะฮู๊ววววว!!!! ^_^

 

more survey ...

 

www.siamensis.org - Thailand Fish & Nature Explorer
An independent non-profit group
Established 2001
 All Rights Reserved 2001-2010 ©siamensis.org